7
ตัดสินใจปิด TikTok ในสหรัฐฯ วันที่ 19 มกราคม 2025 ตามกฎหมายใหม่ ตามด้วยแผนขายกิจการในเดือนกันยายน
เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 19 มกราคม 2025 แอป ByteDance ที่เป็นเจ้าของ TikTok ถูกปิดการเข้าถึงอย่างสมบูรณ์ในสหรัฐอเมริกา ผู้ใช้งานทุกคนที่พยายามเปิดแอปจะเห็นข้อความว่า “ขออภัย TikTok ไม่สามารถใช้งานได้ในขณะนี้” — ไม่มีการอัปเดต ไม่มีการดาวน์โหลด ไม่มีการเข้าถึงข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่การหยุดชั่วคราว แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกตั้งใจอย่างรุนแรง: Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act (H.R. 7521) ซึ่งศาลสูงสหรัฐฯ ตัดสินว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนธันวาคม 2024 หลังจากที่รัฐสภาผ่านมาแล้วเมื่อปี 2023 ด้วยคะแนนเสียงที่เกือบเป็นเอกฉันท์
เหตุผลที่แท้จริง: ความมั่นคงแห่งชาติ หรือการเมือง?
ในปี 2023 ผู้อำนวยการ FBI คริสโตเฟอร์ เอ. วเรย์ ได้ยืนยันต่อคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติของสภาผู้แทนราษฎรว่า “TikTok เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติอย่างแท้จริง” เพราะรัฐบาลจีนอาจบังคับให้ ByteDance ให้เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกัน หรือแม้แต่ควบคุมเนื้อหาที่ผู้ใช้เห็น คำพูดนี้กลายเป็นหัวใจของกฎหมาย H.R. 7521 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความเห็นของประชาชนกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก
เมื่อเดือนมีนาคม 2023 ชาวอเมริกัน 50% สนับสนุนการห้าม TikTok แต่เมื่อถึงเดือนมีนาคม 2025 ตัวเลขนั้นลดลงเหลือเพียง 34% ในขณะที่ผู้คัดค้านเพิ่มขึ้นเป็น 32% และอีก 33% ยังไม่ตัดสินใจ นั่นหมายความว่า แม้รัฐบาลจะอ้างว่า “เพื่อความปลอดภัยของชาติ” แต่ประชาชนกลับเริ่มสงสัยว่า นี่คือการใช้ความมั่นคงแห่งชาติเป็นข้ออ้างเพื่อควบคุมสื่อหรือไม่
แผนการขาย: ข้อตกลงที่ไม่มีใครพูดถึง
แต่แล้วในวันที่ 16 กันยายน 2025 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป รัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลจีนประกาศข้อตกลงเบื้องต้นให้ ByteDance ขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ให้กับกลุ่มผู้ลงทุนอเมริกัน โดย Oracle Corporation จะเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ และจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้ทั้งหมดภายในสหรัฐฯ โดยไม่มีทางให้ ByteDance เข้าถึงได้
รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ บีเซนต์ กล่าวในงานแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวว่า “นี่คือข้อตกลงระหว่างสองบริษัทเอกชน” — คำพูดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการตีความทางการเมืองอย่างชาญฉลาด เพราะหากเป็นการ “ขายโดยรัฐบาล” มันจะถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงตลาด แต่ถ้าเป็น “บริษัทเอกชน” ที่ตกลงกันเอง ทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎหมาย
วันที่ 19 กันยายน ประธานาธิบดี Donald J. Trump ลงนามคำสั่งประธานาธิบดีที่บังคับให้ ByteDance ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือต่ำกว่า 20% และต้อง “คัดลอกและฝึกใหม่” อัลกอริทึมของ TikTok ด้วยข้อมูลผู้ใช้ชาวอเมริกันเท่านั้น นี่ไม่ใช่แค่การขาย แต่เป็นการ “สร้างใหม่” — แอปที่เหลืออยู่จะไม่ใช่ TikTok แบบเดิมอีกต่อไป
จีนเงียบ แต่ทรัมป์อ้างว่า “สี จิ้นผิง ให้การอนุมัติ”
จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025 ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากจีนหรือจากคณะกรรมการบริหารของ ByteDance แต่ทรัมป์อ้างว่าเขาได้คุยกับประธานาธิบดี Xi Jinping ผ่านโทรศัพท์ และได้รับ “การอนุมัติอย่างชัดเจน” คำพูดนี้ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ข้อตกลงดูมีน้ำหนักทางการเมือง
สิ่งที่น่าตกใจคือ แม้ TikTok จะเป็นแอปของจีน แต่การดำเนินงานระดับโลกยังคงอยู่ภายใต้ TikTok International Limited ซึ่งจดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และมีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ — นั่นหมายความว่า แม้สหรัฐฯ จะปิดตัวแอปได้ แต่ TikTok ยังคงเติบโตในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาใต้ ด้วยผู้ใช้งานกว่า 170 ล้านรายในสหรัฐฯ เท่านั้นที่สูญหาย
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: ขาดรายได้ 2.3 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส
การปิดตัวในสหรัฐฯ ทำให้ ByteDance ขาดรายได้ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส ตามรายงานทางการเงินของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 นี่ไม่ใช่แค่การสูญเสียรายได้ — แต่คือการตัดรากของโมเดลธุรกิจที่สร้างจากโฆษณาที่มุ่งเป้าไปยังวัยรุ่นอเมริกัน
ในขณะเดียวกัน วันที่ 15 มิถุนายน 2025 รัฐสภาสหรัฐฯ กลับห้ามการใช้งาน WhatsApp บนอุปกรณ์ของสมาชิกสภา — แม้ WhatsApp จะเป็นบริษัทอเมริกันที่อยู่ภายใต้ Meta Platforms Inc. ด้วยเหตุผลว่า “ไม่มีความโปร่งใสในการป้องกันข้อมูล” และ “ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูลที่เก็บไว้” — นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้ต่อสู้กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น แต่กำลังต่อสู้กับ “ความไม่โปร่งใส” ของแพลตฟอร์มทุกประเภท
ข้อพิพาททางกฎหมาย: ความเป็นส่วนตัว vs ความมั่นคง
องค์กร American Civil Liberties Union ออกมาประณาม H.R. 7521 ว่าเป็น “กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ” เพราะมันโจมตีแอปเดียวเพียงตัวเดียว โดยไม่จัดการกับแพลตฟอร์มอื่นที่มีความเสี่ยงเท่ากัน นักกฎหมายอย่าง McBrien ยังตั้งคำถามว่า การห้ามแอปโดยไม่ให้โอกาสแก้ไข ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
และนี่คือจุดที่กฎหมาย H.R. 7521 อาจถูกท้าทายต่อไป — เพราะแม้จะมีข้อตกลงขายกิจการ แต่ถ้าอัลกอริทึมใหม่ยังคง “คล้ายเดิม” ผู้ใช้จะยังคงใช้งาน แต่ถ้ามันเปลี่ยนไปมากเกินไป ผู้ใช้ก็จะหายไป แล้วใครจะเป็นผู้ชนะ?
สิ่งที่ต้องจับตา: วันที่ 18 ธันวาคม 2025
ข้อตกลงนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 18 ธันวาคม 2025 ไม่เช่นนั้น คำสั่งห้ามจะยังคงมีผลอยู่ แม้จะมีช่วงเวลา 90 วันสำหรับการย้ายระบบและบริการสนับสนุนตามมาตรา 4(c)(2) ของกฎหมาย
แต่คำถามใหญ่คือ — ถ้าข้อตกลงล้มเหลว รัฐบาลจะกลับไปสู่การห้ามเต็มรูปแบบหรือไม่? และถ้าสำเร็จ แอปที่ออกมาจะยังคงเป็น “TikTok” ที่ผู้ใช้รักหรือแค่ “TikTok แบบอเมริกัน” ที่สูญเสียจิตวิญญาณเดิมไปแล้ว?
คำถามที่พบบ่อย
การห้าม TikTok ส่งผลต่อผู้ใช้ทั่วไปอย่างไร?
ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ที่เคยใช้ TikTok มากกว่า 170 ล้านราย ต้องหาทางเลือกอื่น เช่น Instagram Reels หรือ YouTube Shorts ซึ่งไม่มีความเป็นส่วนตัวเท่ากัน หลายคนรู้สึกสูญเสียชุมชนออนไลน์ที่สร้างขึ้นมาหลายปี โดยเฉพาะคนสร้างคอนเทนต์ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มนี้เป็นรายได้หลัก บางคนต้องย้ายไปอยู่ในประเทศอื่นเพื่อใช้งานต่อ
ทำไมต้องเลือก Oracle เป็นผู้ดูแลข้อมูล?
Oracle เป็นบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันที่มีความเชี่ยวชาญด้านฐานข้อมูลและระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย รัฐบาลเคยใช้ Oracle ในการจัดการข้อมูลของหน่วยงานรัฐมาก่อน จึงถูกมองว่า “น่าเชื่อถือ” มากกว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อื่นๆ อย่าง Amazon หรือ Google ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ซ้อนกัน
ข้อตกลงนี้จะเปลี่ยน TikTok ให้เป็นแอปอเมริกันจริงหรือไม่?
ไม่จริง — อัลกอริทึมจะถูกฝึกใหม่ด้วยข้อมูลผู้ใช้อเมริกันเท่านั้น แต่โครงสร้างพื้นฐานยังคงถูกควบคุมโดยผู้ถือหุ้นจีนที่เหลืออยู่ 20% และสิทธิ์ในการใช้ชื่อ “TikTok” ยังอยู่กับ ByteDance ดังนั้น มันจึงเป็น “TikTok แบบอเมริกัน” ที่ต้องใช้ชื่อเดิม แต่ไม่ใช่ตัวตนเดิม
จีนจะตอบโต้การห้าม TikTok อย่างไร?
จนถึงขณะนี้ จีนยังไม่มีการตอบโต้ทางการค้าอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติ บริษัทจีนหลายแห่งได้ลดการลงทุนในเทคโนโลยีอเมริกัน และเริ่มสนับสนุนแอปของตนเอง เช่น Douyin ซึ่งเป็นเวอร์ชันจีนของ TikTok ที่มีการควบคุมเนื้อหาอย่างเข้มงวด — นี่อาจเป็นการตอบโต้แบบเงียบๆ ที่ยาวนานกว่า
การห้าม WhatsApp ของสภาสหรัฐฯ มีความเกี่ยวข้องกับ TikTok อย่างไร?
มันแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่ได้ต่อสู้กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น แต่ต่อสู้กับ “ความไม่โปร่งใส” ของแพลตฟอร์มทุกชนิด แม้ WhatsApp จะเป็นของอเมริกา แต่ถ้าระบบไม่เปิดเผยข้อมูลความปลอดภัย รัฐบาลก็พร้อมจะห้าม — นี่คือการเปลี่ยนจาก “ชาตินิยม” เป็น “ความโปร่งใสเป็นหลัก”
อนาคตของ TikTok นอกสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?
TikTok ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และอเมริกาใต้ โดยมีผู้ใช้งานกว่า 1.5 พันล้านรายทั่วโลก แต่ในระยะยาว ความกดดันจากประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย แคนาดา หรืออังกฤษ อาจตามมา ทำให้ ByteDance ต้องตัดสินใจว่าจะรักษาความเป็นสากลไว้หรือยอมให้แต่ละประเทศควบคุมตามกฎหมายของตนเอง